กสศ. แนะหยุดวงจรความยากจนข้ามรุ่น ด้วยระบบโอกาสการศึกษาแบบไร้รอยต่อ

กสศ. แนะหยุดวงจรความยากจนข้ามรุ่น ด้วยระบบโอกาสการศึกษาแบบไร้รอยต่อ

กสศ. แนะหยุดวงจรความยากจนข้ามรุ่น ด้วยการพัฒนาระบบหลักประกันโอกาสทางการศึกษา สร้างโอกาสความเสมอภาค ปฐมวัย-อุดมศึกษา 20 ปีแบบไร้รอยต่อให้ได้จริง ลดความเหลื่อมล้ำในระยะยาว เชื่อม BIG DATA เด็กยากจน-ยากจนพิเศษ 1.9 ล้านคน

เมื่อวันที่ 21 ต.ค. 65 ดร.ไกรยส ภัทราวาท ผู้จัดการกองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา (กสศ.) กล่าวว่า จากข้อมูลองค์การยูเนสโก ระบุว่า ไทยมีเยาวชนจากครัวเรือนฐานะยากจนที่สุด มากถึงร้อยละ 20 ของประเทศ แต่มีเพียง 8 ใน 100 คนเท่านั้นที่สามารถศึกษาต่อในระดับอุดมศึกษาได้ น้อยกว่าเด็กที่มาจากครัวเรือนร่ำรวยที่สุดร้อยละ 20 ของประเทศถึง 6 เท่า ซึ่งต้นเหตุของปัญหา ไม่ใช่เพราะความสามารถและขาดศักยภาพการเรียนรู้ของเด็กยากจน แต่เป็นเพราะการเข้าไม่ถึงโอกาสทางการศึกษา เนื่องจากฐานะของครอบครัวและปัจจัยอื่นๆ ทำให้เด็กไม่สามารถที่จะเรียนต่อได้ ทั้งนี้มีผลวิจัยติดตามข้อมูลประชากรเยาวชนมากกว่า 1.5 แสนคนอย่างต่อเนื่อง 4 ปี พบว่า ประเทศไทยมีเด็กช้างเผือก (Resilient Students) ซึ่งมาจากครัวเรือนยากจนที่สุดของประเทศ แต่สามารถสอบผ่านเข้าเรียนในระดับอุดมศึกษาได้สำเร็จ มากถึงร้อยละ 14

การศึกษา

ขณะเดียวกัน จากการติดตามข้อมูลอย่างต่อเนื่องระหว่างปี 2561-2565 ของนักเรียนยากจนและยากจนพิเศษที่ได้รับทุนเสมอภาคจากของกองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา (กสศ.) หรือเงินอุดหนุนปัจจัยพื้นฐานนักเรียนยากจนจากสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) กระทรวงศึกษาธิการ พบว่าในปีการศึกษา 2565 มีเยาวชนจากครัวเรือนที่รายได้น้อยที่สุดร้อยละ 20 ของประเทศกว่า 20,018 คน สามารถสอบเข้าศึกษาต่อในระดับมหาวิทยาลัยผ่านระบบ TCAS65 ได้สำเร็จ

ดร.ไกรยส กล่าวว่า กองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา (กสศ.) ในฐานะองค์กรที่มีภารกิจในการลดความเหลื่อมล้ำทางการศึกษา ซึ่งถูกก่อตั้งขึ้นเพื่อเร่งให้เกิดการปฏิรูประบบการศึกษา ผ่านการพัฒนากลไก และมาตรการเชิงระบบเพื่อให้สามารถสร้างโอกาสที่จะนำไปสู่การสร้างความเสมอภาคทางการศึกษาได้อย่างมีประสิทธิภาพและยั่งยืน โดยได้วิจัยพัฒนากระบวนการคัดกรองนักเรียนยากจนพิเศษ ด้วยวิธีวัดรายได้โดยอ้อม (Proxy Means Test: PMT) ร่วมกับกระทรวงศึกษาธิการ และกระทรวงมหาดไทย และคณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เพื่อชี้เป้าหมาย เด็กและเยาวชนที่มีชีวิตยากลำบากมากที่สุดร้อยละ 15-20 ของประเทศ ให้ได้รับเงินอุดหนุนอย่างมีเงื่อนไข หรือทุนเสมอภาค จาก กสศ. ตั้งแต่ระดับอนุบาลถึงมัธยมศึกษาตอนต้น เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการเดินทาง ค่าครองชีพทางการศึกษา โดยมีเงื่อนไขให้ต้องมีอัตราการมาเรียนไม่ต่ำกว่าร้อยละ 80-85 และมีพัฒนาการที่สมวัย

กสศ. เชื่อว่านักเรียนกลุ่มนี้เป็นกลุ่มที่มีความเสี่ยงหลุดนอกระบบการศึกษาเพราะความยากจนระดับรุนแรง แม้ว่ารัฐจะมีมาตรการเรียนฟรีก็ตาม แต่ก็ยังไม่เพียงพอต่อสถานะครัวเรือนของประชากรกลุ่มนี้ที่มีรายได้ครัวเรือนเฉลี่ยเพียงเดือนละ 1,044 บาท หรือน้อยกว่าวันละ 35 บาทเท่านั้น โดยจากการติดตามกลุ่มเป้าหมายเหล่านี้ตลอด 4 ปีที่ผ่านมา พบว่า เงินอุดหนุนอย่างมีเงื่อนไขช่วยให้นักเรียนมีอัตราการมาเรียนที่ดีขึ้น ลดอัตราการหลุดออกจากระบบการศึกษา และมีพัฒนาการที่สมวัยมากขึ้น ทำให้จำนวนเด็กหลุดออกนอกระบบการศึกษาน้อยลงตามลำดับ รวมทั้งมีแนวโน้มที่จะศึกษาต่อในระดับการศึกษาที่สูงกว่าภาคบังคับมากขึ้น

ในระหว่างการศึกษาและประเมินผลที่ กสศ. ทำตลอด 4 ปีที่ผ่านมาพบว่า การทำให้โอกาสทางการศึกษาเป็นเรื่องที่ยั่งยืนได้ คือการเชื่อมต่อฐานข้อมูลและการทำงาน ในการส่งต่อนักเรียนยากจนและยากจนพิเศษให้สามารถเข้าถึงทรัพยากรและเข้าถึงการศึกษาในระดับที่สูงขึ้น

“การสนับสนุนเด็กช้างเผือกได้รับการศึกษาสูงสุดอย่างเต็มศักยภาพ เป็นจุดเริ่มต้นของภารกิจ ระบบหลักประกันโอกาสทางการศึกษา ที่ กสศ. ร่วมมือกับกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) รวมทั้งที่ประชุมอธิการบดีแห่งประเทศไทย (ทปอ.) ที่ประชุมคณะกรรมการอธิการบดีมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคล และที่ประชุมมหาวิทยาลัยราชภัฏ ในการเชื่อมโยงข้อมูลนักเรียนยากจน/ยากจนพิเศษ ที่ศึกษาต่อในระดับอุดมศึกษา ผ่านระบบ TCAS และส่งต่อข้อมูลไปยังมหาวิทยาลัยรัฐและเอกชนทั่วประเทศ เพื่อให้จัดหาทุนการศึกษาแก่นักเรียนที่ต้องการความช่วยเหลือ หรือการสนับสนุนอื่นๆ ที่จำเป็นอย่างรอบด้าน” ผู้จัดการกองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษากล่าว

ดร.ไกรยส กล่าวด้วยว่า การพัฒนาระบบหลักประกันโอกาสทางการศึกษา จะช่วยให้ประเทศไทยมีระบบสารสนเทศและฐานข้อมูลรายบุคคลและรายสถานศึกษาระยะยาว (Longitudinal Database) ครอบคลุมเด็กเยาวชนที่มาจากครัวเรือนซึ่งมีรายได้น้อยที่สุดของประเทศจำนวนมากกว่า 1.9 ล้านคนในระบบการศึกษาขั้นพื้นฐาน เพื่อให้หน่วยงานต่างๆ ที่เกี่ยวข้องสามารถช่วยเหลือสนับสนุนและส่งเสริมให้เด็กเยาวชนเหล่านี้ไม่หลุดออกจากระบบการศึกษาและสามารถศึกษาต่อไปจนถึงระดับสูงสุดตามศักยภาพตั้งแต่ระดับปฐมวัยจนถึงระดับอุดมศึกษา

ดร.ไกรยส กล่าวว่า ระบบหลักประกันฯ นี้จะเป็นเครื่องมือช่วยในการจัดทำนโยบาย (Policy Instrument) และเป็นเครื่องมือติดตามนโยบาย (Policy Monitoring) นอกจากนี้ ยังสามารถใช้สนับสนุนการวิจัยพัฒนานโยบายสาธารณะ (Public Policy) เพื่อสนับสนุนมาตรการระยะยาวในการสร้างความเสมอภาคทางการศึกษา ตั้งแต่ระดับปฐมวัยถึงระดับอุดมศึกษาในอนาคต (Basic and Higher Education Systems Integration) เพื่อให้เด็กเยาวชนและครอบครัวทุกระดับรายได้และทุกพื้นที่ในประเทศไทยบรรลุเป้าหมายทางการศึกษาได้ตามขีดความสามารถและความมุ่งมั่นอย่างแท้จริง

อย่างไรก็ตาม การพัฒนาระบบหลักประกันทางการศึกษาจะสำเร็จและยั่งยืนได้ ก็ต้องได้การสนับสนุนจากภาครัฐเอกชนและประชาชน เช่น โครงการลมหายใจเพื่อน้อง ของบริษัท ปตท.จำกัด (มหาชน) และโครงการก้าวเพื่อน้อง โดยมูลนิธิก้าวคนละก้าว ที่ช่วยเหลือนักเรียนช่วงชั้นรอยต่อที่หลุดจากระบบให้กลับมาเรียน หรือการที่ กสศ. ได้ร่วมมือกับบริษัทแสนสิริ และ SCB ในการออกหุ้นกู้ระดมทุนมูลค่า 100 ล้านบาท เพื่อทำงานในพื้นที่จังหวัดราชบุรีเป็นเวลา 3 ปี ในโครงการ “Zero Dropout เด็กทุกคนต้องได้เรียน” โดยมีเป้าหมายเพื่อลดจำนวนเด็กเยาวชนนอกระบบในจังหวัดให้เหลือศูนย์

ดร.ไกรยส ชี้ว่า โอกาสทางการศึกษา คือการลงทุนที่สร้างผลตอบแทนที่สูงที่สุดต่อประเทศ โดยประชากรกลุ่มนี้ส่วนใหญ่จะเป็นคนรุ่นแรกของครอบครัวที่จบการศึกษาสูงกว่าพ่อแม่ ที่เดิมมีค่าเฉลี่ยระดับการศึกษาสูงสุดเพียงชั้นประถมศึกษาหรือเทียบเท่า มากกว่า 10 ปี แล้วเมื่อวันที่คนรุ่นนี้มีรายได้สูงขึ้นกว่าคนรุ่นก่อน ย่อมหมายถึงการเปิดประตูสู่โอกาสในชีวิตที่มากกว่า และแน่นอนว่าจะนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงสถานะทางสังคม (Social Mobility) เศรษฐกิจ และหยุดวงจรความยากจนที่ส่งต่อกันจากรุ่นสู่รุ่น (Intergenerational Poverty) ให้สิ้นสุดลงในรุ่นของพวกเขา

จากการประมาณการรายได้ตลอดช่วงชีวิตการทำงาน (อายุ 22-60 ปี) และผลตอบแทนทางเศรษฐกิจ ในกรณีที่นักศึกษา 20,018 คนจากครัวเรือนรายได้ต่ำกว่าเส้นความยากจนจะได้รับ เมื่อพวกเขาสำเร็จการศึกษา ซึ่งคำนวณจากมูลค่าทางเศรษฐกิจปัจจุบัน (Present Value) จากข้อมูลการสำรวจภาวะการทำงานของประชากร ปี 2562 โดยใช้สมมติฐานอัตราคิดลด (Discount Rate) ที่ 3% จะเท่ากับว่าคนที่เรียนจบมหาวิทยาลัย จะมีรายได้สูงกว่าคนที่เรียนจบแค่ชั้น ม.3 แล้วหลุดไปจากระบบการศึกษา เพิ่มขึ้นถึงคนละ 3.6 ล้านบาท จำนวนนี้ถ้าคูณ 20,018 คนเข้าไป เท่ากับว่าถ้าเราคุ้มครองดูแลให้ทุกคนจบการศึกษาและเข้าไปประกอบอาชีพได้ ประเทศไทยจะมีมูลค่าทางเศรษฐกิจเพิ่มขึ้น 72,000 ล้านบาท ในระยะเวลาราว 20-30 ปีข้างหน้านี้ ยังไม่รวมผลตอบแทนทางสังคมด้านอื่นๆ อีกมากมาย

“มูลค่าที่กล่าวถึงนี้ไม่ได้เป็นเพียงผลตอบแทนส่วนบุคคลของเด็กกลุ่มนี้ แต่เป็นการลงทุนต่อประเทศที่สำคัญ ในสถานการณ์ที่ประเทศไทยต้องการจะก้าวออกจากกับดักรายได้ปานกลางภายใต้ยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปีที่ตั้งไว้ เพราะเมื่อตัวเลขของเยาวชนกลุ่มนี้ขยับขึ้นไปจาก 14% ในอนาคต เราอาจจะหลุดออกจากกับดักประเทศรายได้ปานกลางได้ไม่ช้ากว่าประเทศเพื่อนบ้านอื่นๆ ในภูมิภาคนี้” ดร.ไกรยส กล่าว.